มะเร็งปากมดลูก เป็นหนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลกในแต่ละปีอย่างเงียบงัน

โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทย มะเร็งชนิดนี้มักไม่มีอาการในระยะแรก

และเมื่อมีอาการแล้วก็อาจอยู่ในระยะที่รักษาได้ยากแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมการตระหนักรู้และการตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้หญิงทุกคนควรทำความเข้าใจ

     บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับมะเร็งบริเวณปากของมดลูก สาเหตุ กลุ่มเสี่ยง และสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

พร้อมคำแนะนำในการป้องกันและการดูแลสุขภาพในระยะยาว

มะเร็งปากมดลูก คืออะไร?

กลุ่มเสี่ยงของ มะเร็งปากมดลูก

Cervical Cancer คือ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ปากมดลูก ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างมดลูกกับช่องคลอด

โดยมีสาเหตุหลักจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส (HPV – Human Papillomavirus) ซึ่งสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

ไวรัสนี้มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งบริเวณปากของมดลูกส่วนใหญ่คือ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18

   การติดเชื้อ HPV ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมะเร็งในทันที ร่างกายส่วนใหญ่สามารถกำจัดไวรัสนี้ได้เองภายในเวลาไม่กี่ปี

แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือไม่ได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เชื้อ HPV อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์อย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นมะเร็ง

ผู้หญิงทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ล้วนมีความเสี่ยง แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบริเวณปากของมดลูก ได้แก่:

  1. มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
  2. มีคู่นอนหลายคน หรือคู่นอนมีคู่นอนหลายคน
  3. ไม่เคยรับวัคซีน HPV
  4. สูบบุหรี่
  5. มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วย HIV
  6. ไม่เคยตรวจคัดกรองมะเร็งบริเวณปากของมดลูกอย่างสม่ำเสมอ

สัญญาณเตือนของมะเร็งบริเวณปากของมดลูกที่ไม่ควรมองข้าม

     มะเร็งบริเวณปากของมดลูกในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเซลล์ผิดปกติลุกลาม ก็จะเริ่มแสดงอาการต่างๆ ที่อาจดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่แท้จริงแล้วเป็น “เสียงเตือน ” ที่สำคัญ

1. มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด

  • เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
  • เลือดออกระหว่างรอบเดือน
  • มีเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน

2. ตกขาวผิดปกติ

  • มีกลิ่นเหม็นรุนแรง
  • ปริมาณมากผิดปกติ
  • มีเลือดปน หรือมีสีเข้ม

3. ปวดท้องน้อยหรือปวดระหว่างเพศสัมพันธ์

  • อาการปวดคล้ายปวดประจำเดือนแต่ไม่ใช่ช่วงที่มีรอบเดือน
  • เจ็บลึกภายในช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์

4. ปัสสาวะผิดปกติ

  • ปัสสาวะบ่อย ปวดแสบขัด
  • ปัสสาวะมีเลือดปน

5. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • น้ำหนักลดรวดเร็วในช่วงระยะเวลาอันสั้น
  • ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

6. บวมที่ขา

มะเร็งที่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองอาจกดทับเส้นเลือด ทำให้เกิดอาการบวมที่ขาโดยไม่ทราบสาเหตุ


เล่นหวยไม่มีสะดุด บนเว็บไซต์ที่เปิดมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี อันดับ 1 ของเอเชีย  การันตีจากหน่วยงานสากลที่เชื่อถือได้อย่าง PAGCOR

การตรวจคัดกรอง: กุญแจสำคัญสู่การป้องกัน

การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear)

เป็นวิธีคัดกรองเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูก ช่วยให้ตรวจพบเซลล์ผิดปกติก่อนจะพัฒนาเป็นมะเร็ง เหมาะสำหรับผู้หญิงอายุ 25-65 ปี ควรตรวจทุก 3 ปี

การตรวจ HPV DNA Test

สามารถตรวจหาเชื้อ HPV ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งได้แม้ยังไม่มีอาการ เหมาะสำหรับผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป แนะนำให้ตรวจควบคู่กับแปปสเมียร์

ตรวจ VIA ( Visual Inspection with Acetic Acid)

เป็นวิธีตรวจโดยการหยอดกรดน้ำส้มลงบนปากมดลูก แล้วดูการเปลี่ยนแปลง เหมาะสำหรับพื้นที่ที่เข้าถึงอุปกรณ์การแพทย์ได้น้อย


วัคซีน HPV: ป้องกันไว้ ดีกว่าแก้

   วัคซีน HPV สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งบริเวณปากของมดลูกได้ถึง 70-90% แนะนำให้ฉีดตั้งแต่อายุ 9-26 ปี แต่ผู้หญิงอายุ 27-45 ปีก็สามารถฉีดได้หากยังไม่เคยติดเชื้อ

  • วัคซีนต้องฉีดทั้งหมด 2-3 เข็ม
  • สามารถรับบริการฉีดได้ที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชน

ในประเทศไทย มีการบรรจุวัคซีนนี้ในแผนวัคซีนพื้นฐานสำหรับนักเรียนหญิงชั้น ป.5

รู้จักระยะของมะเร็งบริเวณปากของมดลูก

มะเร็งบริเวณปากของมดลูกแบ่งออกเป็น 4 ระยะ:

  1. ระยะที่ 1: เซลล์มะเร็งอยู่เฉพาะในปากมดลูก
  2. ระยะที่ 2: ลุกลามออกนอกปากมดลูก แต่ยังไม่ถึงผนังเชิงกราน
  3. ระยะที่ 3: ลุกลามไปยังผนังเชิงกราน หรือไต
  4. ระยะที่ 4: ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปอด ตับ

การรักษาแตกต่างกันไปตามระยะ ตั้งแต่การผ่าตัด การฉายรังสี เคมีบำบัด หรือการใช้วิธีแบบผสมผสาน

การป้องกันและดูแลตัวเอง

1. ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

อย่ารอให้มีอาการ ควรตรวจคัดกรองเป็นประจำตามช่วงวัย

2. ใช้ถุงยางอนามัย

ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ HPV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

3. รับวัคซีน HPV

ยิ่งฉีดตั้งแต่อายุน้อย ยิ่งป้องกันได้ดี

4. ไม่สูบบุหรี่

สารเคมีในบุหรี่สามารถทำให้เซลล์ปากมดลูกเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้น

5. สังเกตอาการผิดปกติ

หากมีเลือดออก ตกขาวกลิ่นแรง หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ควรพบแพทย์ทันที


เสียงจากผู้เคยผ่านประสบการณ์

ตอนแรกแค่มีตกขาวเยอะ คิดว่าเป็นตกขาวธรรมดา แต่พอไปหาหมอ พบว่าเป็นมะเร็งบริเวณปากของมดลูกระยะที่ 2 แล้ว โชคดีที่ยังรักษาได้” – คุณพรทิพย์ อายุ 42 ปี


เราฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุ 20 รู้สึกอุ่นใจมาก ทุกปีไปตรวจแปปสเมียร์ตลอด เพราะรู้ว่าชีวิตมีค่ามากเกินกว่าจะเสี่ยง” – น.ส.ลลิตา อายุ 28 ปี

ป้องกันได้ ถ้ารู้ทัน

      มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคร้ายที่สามารถป้องกันและตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หากผู้หญิงทุกคนรู้จัก “ฟังร่างกาย” ของตัวเอง สังเกตสัญญาณผิดปกติ

และไม่ละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี โอกาสในการรักษาหายขาดก็ยิ่งสูงขึ้น การได้รับวัคซีน HPV และการใช้ถุงยางอนามัยก็เป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

อย่ารอให้มะเร็งเติบโตไปจนสายเกินไป “หนึ่งการตรวจ อาจช่วยให้คุณมีชีวิตอยู่เพื่ออนาคตที่คุณฝันไว้

เพราะสุขภาพของคุณ คือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณมอบให้ตัวเอง